ชุดแรกเกิดขึ้นท่ามกลางแสงสปอตไลต์อันน่าอึดอัดใจ - ณ สนามลุชนีกิ (Luzhniki Stadium) ในกรุงมอสโก (Moscow) ปี 2551 ผู้คนนับล้านชมผ่านโทรทัศน์ทั่วโลก ขณะที่ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษกำลังก้าวสู่การเป็นตำนาน ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำและการลื่นไถล ชุดที่สอง เกิดขึ้นสามปีก่อนหน้านั้น และห่างออกไป 4,828 กิโลเมตร ณ ห้องแต่งตัวอันเป็นส่วนตัวของสนามเอสตาดีโอ โด เบนฟิก้า (Estadio do Benfica) ในประเทศโปรตุเกส sbo การพลาดจุดโทษของ จอห์น เทอร์รี (John Terry) ในศึกชิงแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก (Champions League) ปี 2551 ระหว่าง เชลซี (Chelsea) และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) นั้นเป็นเรื่องเล่าที่กลายเป็นตำนานในวงการฟุตบอล เรื่องเล่าบอกว่านักฟุตบอลตัวสำคัญของทีมเชลซีอาจจะคว้าถ้วยรางวัลได้ แต่กลับพลาดโอกาส
มุมมองของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ (Rio Ferdinand) นั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อย สำหรับอดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ
แก่นแท้ของชัยชนะในเมืองหลวงของรัสเซียนั้น ต้องย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาแห่งอารมณ์ที่แตกต่าง เมื่อหลายปีก่อน ในคำ่คืนอันแห้งผ่าวของโปรตุเกส เป็น คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) หนุ่มน้อยที่ถูกปลุกอารมณ์จนน้ำตาไหลจากการดุด่าอันโด่งดังของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน sbo จุดเปลี่ยนแห่งความสำเร็จ: เส้นทางของ โครงการฟื้นฟู แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และการเติบโตของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ในช่วงระยะเริ่มต้นของการฟื้นฟูสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ หลังจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2002-03 สโมสรไม่สามารถทำได้เช่นเดิมในสามฤดูกาลถัดมา ในขณะนั้น กองทัพนักเตะจาก อาร์เซนอล (Arsenal) และ เชลซี (Chelsea) กำลังครองความเป็นใหญ่ในลีก โดย อาร์เซนอล คว้าแชมป์ในฤดูกาล 2003-04 ส่วน เชลซี คว้าแชมป์ติดต่อกันในปี 2004-05 และ 2005-06
การแข่งขันที่เข้มข้นครั้งนี้ทำให้ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Alex Ferguson) โค้ชผู้ยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้สึกไม่พอใจกับการที่อำนาจของตนถูกท้าทาย เขาตัดสินใจที่จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อฟื้นฟูสโมสรให้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
ริโอ เฟอร์ดินานด์ (Rio Ferdinand) อดีตนักเตะทีมชาติอังกฤษ เล่าถึงช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่น่าประทับใจ ในบรรยากาศของการสร้างทีมใหม่
"ผมจำได้ว่า โรนัลโด้ร้องไห้ในห้องเปลี่ยนเสื้อ และผมคิดว่า โค้ชไม่สนใจเลยว่าเขาเป็นใคร" เฟอร์ดินานด์เล่าในสารคดีของ บีบีซี (BBC) ที่ชื่อว่า "ซิร์ อเล็กซ์" ซึ่งจะเผยแพร่ทาง ไอเพลย์ (iPlayer) ในวันบ๊อกซิงก์เดย์
เฟอร์ดินานด์ถ่ายทอดเรื่องราวถึงการเดินทางไปเล่นที่ ประเทศโปรตุเกส และการแข่งขันกับ เบนฟิก้า (Benfica) ซึ่งโรนัลโด้ในวัยเยาว์พยายามอย่างหนักเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาคู่ควรกับการมาอยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เฟอร์กูสันตะคอกใส่โรนัลโด้ด้วยคำพูดที่รุนแรง "เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? พยายามพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็น เธอคิดว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์สตาร์หรือ?"
แม้จะดูเหมือนรุนแรง แต่เฟอร์ดินานด์กลับมองว่า โรนัลโด้สมควรได้รับคำติเตียนนี้ เขากล่าวว่า "มองดูนักเตะที่เขากลายมาเป็น โค้ชรู้ว่าเขาอาจจะต้องใช้ความอ่อนโยน แต่ในบางครั้งก็ต้องแสดงความเด็ดขาด"
การตอกย้ำและกระตุ้นของ เฟอร์กูสัน ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่สุดท้ายแล้วนำไปสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในการแข่งขันที่ กรุงมอสโก (Moscow) ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของความสำเร็จของทีม
เส้นทางของ โรนัลโด้ จากนักเตะหนุ่มที่มุ่งมั่นไปสู่การกลายเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก เป็นตัวอย่างที่น่าประทับใจของการพัฒนาตนเองภายใต้การฝึกสอนอันแข็งกร้าวแต่มีวิสัยทัศน์ของ เฟอร์กูสัน
การผสมผสานระหว่างความเด็ดขาดของโค้ช ความมุ่งมั่นของนักเตะ และวิสัยทัศน์ในการสร้างทีม ได้นำพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง และสร้างตำนานที่จะถูกจดจำตลอดไป
เฟอร์กูสัน ศิลปะการสร้างทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค
การสร้างทีมฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีใครทำได้ดีเท่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alex Ferguson) ในวงการฟุตบอลโลก ตลอด 26 ปีที่ครองตำแหน่งกุนซือใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) เขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างและปรับโฉมทีมอย่างต่อเนื่อง
ช่วงเวลาที่โดดเด่นที่สุดของเฟอร์กูสันคือช่วงปี 2008 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดแห่งความสำเร็จ การคว้าแชมเปี้ยนส์ ลีก (Champions League) ครั้งที่สองในปีนั้นไม่เพียงแค่เป็นรางวัลที่สำคัญ แต่ยังเป็นการยืนยันถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของเขาในการสร้างทีม รุ่นปี 2008 นี้ถือว่าแม้กระทั่งเทียบกับ "รุ่น 92" อันเลื่องลือยังดูโดดเด่นกว่า
นักเตะหลายคนในยุคนั้นกลายเป็นตำนานของสโมสร ไม่ว่าจะเป็น ริโอ เฟอร์ดินานด์ (Rio Ferdinand) คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) และ เวย์น รูนี่ (Wayne Rooney) ต่างล้วนเป็นผลผลิตจากกลยุทธ์การสรรหาและพัฒนานักเตะของเฟอร์กูสัน
กระบวนการสร้างทีมของเฟอร์กูสันไม่ใช่แค่การซื้อนักเตะที่มีชื่อเสียง แต่เป็นศิลปะแห่งการค้นหาและบ่มเพาะความสามารถ เขามีความสามารถพิเศษในการมองเห็นศักยภาพของนักเตะหนุ่มและพัฒนาพวกเขาให้กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก
การปรับตัวและการปฏิวัติทีมอย่างเงียบๆ เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ เฟอร์กูสันไม่เคยหยุดนิ่งหรือพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ เขาคอยสังเกตและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งในช่วงปลายอาชีพ เขายังคงสามารถสร้างทีมที่ส่งเขาเกษียณอย่างงดงามด้วยแชมเปี้ยนชิพพรีเมียร์ลีก (Premier League) ครั้งที่ 13 ในฤดูกาล 2012-13 โดยมี โรบิน วาน เปอร์ซี (Robin van Persie) เป็นแม่งานสำคัญ
นอกเหนือจากความสามารถในการสรรหานักเตะแล้ว เฟอร์กูสันยังมีความสามารถพิเศษในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เข้มแข็ง วินัย และความมุ่งมั่นเป็นสิ่งที่เขาปลูกฝังให้กับนักเตะทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเตะรุ่นใหม่หรือรุ่นเก๋า
การสร้างทีมของเฟอร์กูสันไม่เพียงแค่มองที่ความสามารถทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตวิทยา การสร้างแรงจูงใจ และการจัดการกับบุคลิกที่แตกต่างของนักกีฬาแต่ละคน เขาสามารถทำให้นักเตะทำงานร่วมกันเป็นทีมได้อย่างน่าทึ่ง
ในช่วงสุดท้ายของอาชีพ เฟอร์กูสันพิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังคงเป็นกุนซือที่ยิ่งใหญ่ โดยสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่งและส่งท้ายอาชีพด้วยรางวัลอันทรงเกียรติ
มรดกของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่เพียงแค่อยู่ที่แชมเปี้ยนชิพหรือถ้วยรางวัล แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างและพัฒนานักเตะ รวมถึงการวางรากฐานวัฒนธรรมแห่งความสำเร็จให้กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด