"ทุกความผิดพลาดในเกม ผู้คนจะอ้างถึงการบาดเจ็บของผม แน่นอนว่าไม่มีใครอยากได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรง แต่ช่วงเวลาที่เราได้ใช้ร่วมกันนั้นก็คุ้มค่า" เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (Virgil van Dijk) กัปตันทีม ลิเวอร์พูล (Liverpool) พบข้อดีจากการบาดเจ็บหัวเข่าอย่างรุนแรง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (Virgil van Dijk) กัปตันทีม ลิเวอร์พูล (Liverpool) ยอมรับว่าการต่อสู้กับอาการบาดเจ็บ ACL ที่โด่งดังของเขานั้น 'ยากลำบาก' แต่ก็ยังพบข้อดีในเรื่องนี้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (Virgil van Dijk) กล่าวว่าการพักฟื้นเป็นเวลาสิบเดือนจากอาการบาดเจ็บ ACL เป็น 'หนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม กัปตันทีม ลิเวอร์พูล (Liverpool) ซึ่งได้รับรางวัล PFA Player of the Year ในปี 2019 ต้องหยุดพักหลังจากปะทะกับ จอร์แดน พิคฟอร์ด (Jordan Pickford) ผู้รักษาประตูของทีม เอฟเวอร์ตัน (Everton) ในเดือนตุลาคม 2020 อาการบาดเจ็บนั้นส่งผลต่อความหวังของ ลิเวอร์พูล (Liverpool) ในการรักษาแชมป์ พรีเมียร์ลีก (Premier League) และเป็นช่วงเวลาที่ 'ยากลำบาก' สำหรับ ฟาน ไดค์ (van Dijk) - แต่ก็มาพร้อมกับประโยชน์ที่ไม่คาดคิด
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เปิดใจถึงวิธีบำบัดจิตใจของเขาหลังได้รับการบาดเจ็บหนักจากการปะทะ
ฟาน ไดค์ (van Dijk) ยอมรับว่าการบาดเจ็บยังคงถูกพูดถึงมากกว่าที่เขาต้องการ โดยบางคนแนะนำว่าเขาไม่ได้เป็นนักเตะคนเดิมหลังจากกลับมาในปี 2021 แต่ดาวเตะชาว ดัตช์ (Dutch) คนนี้มีความมุ่งมั่นที่จะไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อเขา โดยเขาบอกว่า "ทุกความผิดพลาดในเกมใดๆ ผู้คนจะอ้างถึงการบาดเจ็บ" "ผมรู้ว่าคุณอาจทำถูก 9 อย่างและทำผิด 1 อย่าง และผู้คนจะโฟกัสเฉพาะสิ่งที่ผิดเพียงอย่างเดียว มันสามารถทำให้จิตใจคุณสับสนและคุณจะสูญเสียความมั่นใจ - คุณรู้สึกกลัวที่จะทำผิดพลาด"
"ความมั่นใจเปรียบเสมือนดอกไม้ เออร์เกน [คล็อปป์] (Jurgen [Klopp]) สอนผมเช่นนั้น มันบอบบาง มันถูกทำลายได้ง่าย ดังนั้นผมรู้ว่าผมต้องสื่อสารความเป็นผู้นำเพียงแค่มีคนมองมาที่ผม" ฟาน ไดค์ (van Dijk) ยังพบความสุขนอกสนามระหว่างการฟื้นตัวจาก ACL เนื่องจากเขาได้มีเวลาอันมีค่าที่จะใช้กับครอบครัวของเขา - จึงเป็นที่มาของคำพูดที่ว่า 'หนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม' เขาอธิบายว่า "ดูสิ มันยากนะ ทางจิตใจมากกว่าอย่างอื่น" "คุณนอนไม่หลับหลายคืน คุณถามตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่า 'เรื่องนี้จะจบลงยังไง? ฉันจะเป็นนักเตะคนเดิมไหม?'"
"แต่ทางร่างกาย ผมคิดว่า เพราะคุณเป็นนักกีฬา คุณจึงรับมือได้" "ผมต้องทำการฟื้นฟูส่วนใหญ่ห่างจากสโมสร ที่ ดูไบ (Dubai) ดังนั้นผมจึงอยู่กับครอบครัว ซึ่งดีมาก" "เจ็ดสัปดาห์กับพวกเขา ผมไม่เคยได้ทำแบบนั้น" "มันเป็นช่วงเวลาครอบครัวที่ดีที่สุดที่ผมเคยมี และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรง แต่ช่วงเวลาที่เราได้ใช้ร่วมกันนั้นก็คุ้มค่า"
บทเรียนชีวิตของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับการบาดเจ็บที่เปลี่ยนมุมมอง
ในโลกของฟุตบอลอาชีพ การบาดเจ็บคือฝันร้ายที่นักเตะทุกคนหวาดกลัว โดยเฉพาะการบาดเจ็บร้ายแรงที่อาจส่งผลต่ออนาคตในวงการลูกหนัง แต่สำหรับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (Virgil van Dijk) กัปตันทีม ลิเวอร์พูล (Liverpool) แห่ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ (Premier League England) เขากลับมองเห็นแง่มุมบวกจากวิกฤตครั้งใหญ่ในชีวิต "ทุกความผิดพลาดในเกม ผู้คนจะอ้างถึงการบาดเจ็บของผม" ฟาน ไดค์ (van Dijk) เปิดใจในบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ ถึงช่วงเวลาอันยากลำบากเมื่อเดือนตุลาคม 2020 หลังจากที่เขาปะทะกับ จอร์แดน พิคฟอร์ด (Jordan Pickford) ผู้รักษาประตูของทีม เอฟเวอร์ตัน (Everton) ในเกมดาร์บี้แมตช์เมอร์ซีย์ไซด์ (Merseyside derby) เหตุการณ์ในวันนั้นส่งผลให้แนวรับชาว ดัตช์ (Dutch) ต้องห่างหายจากสนามเป็นเวลานานถึง 10 เดือนด้วยอาการบาดเจ็บเอ็น ACL ซึ่งเป็นการบาดเจ็บที่รุนแรงและต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูยาวนาน ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล (Liverpool) ประสบปัญหาในการรักษาตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก (Premier League) ในฤดูกาลนั้น
ก่อนหน้าการบาดเจ็บ ฟาน ไดค์ (van Dijk) ถือเป็นกองหลังที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขาคว้ารางวัล PFA Player of the Year ในปี 2019 และเป็นกำลังสำคัญที่พา ลิเวอร์พูล (Liverpool) คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก (Premier League) และ แชมเปียนส์ลีก (Champions League) ความแข็งแกร่งของเขาในแนวรับทำให้ทีมมีความมั่นคงและเป็นหนึ่งในทีมที่เสียประตูน้อยที่สุด เว็บตรง168 แต่หลังจากกลับมาจากการบาดเจ็บในปี 2021 หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าเขายังเป็นนักเตะคนเดิมหรือไม่ มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นที่อาจลดลงและมักมีการอ้างอิงถึงการบาดเจ็บทุกครั้งที่เขาทำผิดพลาดในเกม "ผมรู้ว่าคุณอาจทำถูก 9 อย่างและทำผิด 1 อย่าง และผู้คนจะโฟกัสเฉพาะสิ่งที่ผิดเพียงอย่างเดียว" ฟาน ไดค์ (van Dijk) กล่าว "มันสามารถทำให้จิตใจคุณสับสนและคุณจะสูญเสียความมั่นใจ - คุณรู้สึกกลัวที่จะทำผิดพลาด"
แรงกดดันจากแฟนบอลและสื่อมวลชนเป็นสิ่งที่นักฟุตบอลระดับโลกต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่สำหรับนักเตะที่กำลังฟื้นตัวจากการบาดเจ็บรุนแรง แรงกดดันนั้นอาจทวีคูณขึ้นหลายเท่า อย่างไรก็ตาม ฟาน ไดค์ (van Dijk) ได้รับคำแนะนำอันมีค่าจากผู้จัดการทีม เออร์เกน คล็อปป์ (Jurgen Klopp) ที่ช่วยให้เขาผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้ "ความมั่นใจเปรียบเสมือนดอกไม้ เออร์เกน (Jurgen) สอนผมเช่นนั้น มันบอบบาง มันถูกทำลายได้ง่าย" ฟาน ไดค์ (van Dijk) เล่า "ดังนั้นผมรู้ว่าผมต้องสื่อสารความเป็นผู้นำเพียงแค่มีคนมองมาที่ผม" การเป็นกัปตันทีมไม่ใช่เพียงแค่การสวมปลอกแขนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบในการเป็นแบบอย่างและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนร่วมทีม ฟาน ไดค์ (van Dijk) ตระหนักดีว่าภาษากายและท่าทางของเขาส่งผลต่อขวัญและกำลังใจของทีม ดังนั้นแม้จะต้องเผชิญกับความสงสัยและคำวิจารณ์ เขาจึงพยายามรักษาความมั่นใจและแสดงออกถึงความเป็นผู้นำอย่างเข้มแข็ง ในขณะที่การบาดเจ็บส่งผลกระทบอย่างมากต่ออาชีพการงานของเขา แต่ ฟาน ไดค์ (van Dijk) กลับพบข้อดีที่ไม่คาดคิดนอกสนามฟุตบอล "ดูสิ มันยากนะ ทางจิตใจมากกว่าอย่างอื่น" เขายอมรับ "คุณนอนไม่หลับหลายคืน คุณถามตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่า 'เรื่องนี้จะจบลงยังไง? ฉันจะเป็นนักเตะคนเดิมไหม?'"
คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักกีฬาทุกคนต้องเผชิญเมื่อประสบกับการบาดเจ็บรุนแรง ความกลัวที่จะไม่สามารถกลับมาเล่นได้เหมือนเดิม ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตในวงการ และความไม่แน่นอนของกระบวนการฟื้นฟู ล้วนเป็นภาระทางจิตใจอันหนักหน่วง "แต่ทางร่างกาย ผมคิดว่า เพราะคุณเป็นนักกีฬา คุณจึงรับมือได้" เขากล่าวต่อ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางจิตใจที่นักกีฬาระดับโลกจำเป็นต้องมี อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ฟาน ไดค์ (van Dijk) ค้นพบสิ่งที่มีค่ามากกว่าในชีวิต นั่นคือครอบครัวของเขา "ผมต้องทำการฟื้นฟูส่วนใหญ่ห่างจากสโมสร ที่ ดูไบ (Dubai) ดังนั้นผมจึงอยู่กับครอบครัว ซึ่งดีมาก" เขาเล่าด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง "เจ็ดสัปดาห์กับพวกเขา ผมไม่เคยได้ทำแบบนั้น" ในตารางเวลาอันแน่นขนัดของนักฟุตบอลอาชีพ ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัวอย่างเต็มที่นั้นหาได้ยากยิ่ง ระหว่างการแข่งขัน การฝึกซ้อม การเดินทางไปแข่งขันต่างประเทศ และพันธะสัญญาต่างๆ ทำให้พวกเขาแทบไม่มีเวลาให้กับคนที่รัก การบาดเจ็บจึงกลายเป็นโอกาสพิเศษที่ ฟาน ไดค์ (van Dijk) ได้ใช้เวลากับครอบครัว "มันเป็นช่วงเวลาครอบครัวที่ดีที่สุดที่ผมเคยมี" เขายืนยัน "และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรง แต่ช่วงเวลาที่เราได้ใช้ร่วมกันนั้นก็คุ้มค่า" บทเรียนจากเรื่องราวของ ฟาน ไดค์ (van Dijk) แสดงให้เห็นว่าแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เราก็ยังสามารถค้นพบคุณค่าและความหมายได้ การบาดเจ็บอาจเป็นอุปสรรคในเส้นทางอาชีพ แต่ก็เปิดโอกาสให้เขาได้เชื่อมต่อกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ปัจจุบัน ฟาน ไดค์ (van Dijk) ยังคงเป็นหนึ่งในกองหลังชั้นนำของโลกและเป็นกำลังสำคัญของทีม ลิเวอร์พูล (Liverpool) แม้จะมีผู้วิจารณ์มากมาย แต่เขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางจิตใจและความมุ่งมั่นในการกลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เรื่องราวของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกีฬาและบุคคลทั่วไปที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในชีวิต ว่าเราสามารถค้นพบแง่มุมบวกได้แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด และบางครั้งอุปสรรคเหล่านั้นอาจเป็นประตูที่นำไปสู่ประสบการณ์และบทเรียนอันมีค่าที่เราอาจไม่ได้พบเจอในเส้นทางปกติของชีวิต